วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มาดูกันโครงกระดูกยักษ์!!!!!!!!

มีจริงหรือไม่ !



             หนังสือประวัติศาสตร์โบราณวัตถุ History and Antiquities of Afterdate ของอังกฤษ มีรายงานการค้นพบโครงกระดูกขนาดใหญ่ในประเทศอังกฤษ เป็นประวัติการค้นพบที่เกิดขึ้นในสมัยกลาง-Middle Ages (นักประวัติศาสตร์ให้การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในศตวรรษที่ 5 เป็นจุดเริ่มต้นของสมัยกลาง จนในศตวรรษที่ 15 ชาติต่างๆ ในยุโรปสามารถรวมตัวกันเป็นประเทศ รัฐ จนพัฒนาเป็นประเทศต่างๆ ในปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ให้การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ค.ศ.1453 เป็นจุดสิ้นสุดสมัยกลาง)
ใจความตอนหนึ่งของหนังสือระบุว่า การขุดครั้งนั้นที่ตำบลคัมเบอร์แลนด์ ได้ขุดเจอซากศพของมนุษย์ยักษ์โบราณ สุสานหรือหลุมศพนั้นอยู่ลึกลงไปจากระดับพื้นดินซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดประมาณ 4 หลา (3 เมตร หรือ 12 ฟุต) ศพนั้นมีแต่โครงกระดูกอยู่ภายในเสื้อเกราะเหล็กแบบโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นชุดเสื้อเกราะในยุคสมัยใด 


              จากโครงกระดูกวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายนิ้วเท้าพบว่ามีความยาวถึง 4 หลาครึ่ง สองข้างของศพมีดาบและขวานขนาดมหึมาวางนอนอยู่ข้างละเล่ม หัวขวานเป็นเหล็กหนา 6 นิ้ว ส่วนดาบก็เป็นเหล็กสองคมยาว 2 หลา รวมกับตัวด้ามถืออีก 16 นิ้วเป็น 2 หลา 16 นิ้ว...ศพซึ่งมีแต่กระดูกพบว่ามีหัวกะโหลกหน้าผากกว้างถึง 18 นิ้ว มีกรามใหญ่และมีฟันยาวยื่นขนาด 6 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว
หนังสือบอกไว้ด้วยว่าชิ้นส่วนต่างๆ ของโครงกระดูกยักษ์ที่พบนั้น ถูกพวกนักสะสมของเก่าหรือของแปลกๆ แย่งกันประมูลซื้อกันไปคนละชิ้นสองชิ้น กระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของใครต่อใครกันหมด จนไม่เหลือซากให้คนรุ่นหลังได้เห็นกัน เช่น บอกว่า เครื่องแต่งกายชุดเสื้อเกราะโบราณของศพได้ตกไปเป็นสมบัติส่วนตัวของ แซนด์แห่งเรดิงตัน (Sands of Redington) ส่วนอาวุธขนาดยักษ์ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่าชื่อ ไวเบอร์แห่งเซนต์บีส์ (Wybers of St.Bees) 


               รายงานอีกชิ้นหนึ่งเป็นบันทึกเก่าแก่ของ ดร.มาซูเรียร์ เขียนไว้เป็นแพม เฟลต หรือเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูล ความตอนหนึ่งกล่าวว่า มีสุสานแห่งหนึ่งถูกขุดพบใกล้บริเวณปราสาทคูมองต์ในอังกฤษ สุสานนี้มีศพของมนุษย์ที่เหลือแต่โครงกระดูกที่มีความยาวตั้งแต่หัวกะโหลกถึงปลายเท้าวัดได้ 25 ฟุต มีช่วงไหล่กว้างถึง 10 ฟุต...
รายงานกล่าวว่า ดร.มาซูเรียร์ได้พยายามของซื้อชิ้นส่วนของโครงร่างนั้น แต่เขาไม่มีเงินมากพอ และพวกคนงานนักขุดหาของเก่าก็โก่งราคา มีหลากพวกยื้อแย่งกันโดยหวังจะนำไปขายในตลาดมืดของเก่าซึ่งได้ราคาสูงกว่า เขาจึงได้มาเพียงกระดูกหน้าแข้งชิ้นเดียวและนำไปเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ Musee de Paleontologie กรุงปารีส 

             ยังมีหลักฐานการค้นพบมนุษย์ยักษ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรากษส หรือยักษ์ อีกจำนวนไม่น้อย อาทิ ค.ศ.1969 นักโบราณคดีชาวอิตาลี ขุดพบสุสานโครงกระ ดูก 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโลงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผาซึ่งไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใดๆ ไว้ โดยขุดพบบริเวณตำบลเตอร์ราซินา ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์ ดร.ลุยจิ คาวาลลูซซิ นักโบราณคดีตรวจสอบโดยละเอียดแล้วลงความเห็นไว้ในบันทึกทางโบราณคดีว่า
โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า 7 ฟุต โครงที่สูงที่สุดวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายเท้าสูงถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว ทั้งหมดตายเมื่ออายุ 35-40 ปีโดยประมาณ พวกเขายังมีฟันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเกือบทั้งหมด เราตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นอธิบายไว้อย่างหยาบๆ ว่า พวกนี้อาจเป็นพวกนักรบป่าโบราณที่ถูกทหารโรมันเกณฑ์มาเป็นทาสทหาร และคงถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลบางประการ แต่ที่น่าแปลกคือไม่พบเครื่องแต่งกายหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ ในบริเวณหลุมฝังศพนั้นเลย




Credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1677865


วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประวัติ จังหวัดเชียงราย

ถึงแม้ว่าเจ้าของบล็อกไม่ได้เกิดที่เชียงรายนะคะ แต่ย้ายมาอยู่เชียงราย มาเรียนที่เชียงราย ตั้งแต่ตอนที่อยู่ ม.2 เทอม2 ตอนนี้อยู่ม. 5 แล้วค่ะ
พอมาอยู่เชียงรายแล้ว
รู้สึกมีความสุข สนุกสนาน ได้เจอกับเพื่อนที่มีนิสัยแปลกๆแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไปแต่เข้ากันได้ดี ได้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติสวยๆ ชอบมากเลยค่ะ จึงขอนำเสนอประวัติของจังหวัดเชียงรายโดยย่อค่ะ ^///^

ประวัติความเป็นมา

จังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำกก เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ มีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหล่งอย่างไม่ขาดสายนับตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล หรือก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน ดังจะสรุป ประวัติศาสตร์ความเป็นมาโดยแบ่งเป็นสมัยต่าง ๆ ได้ ๔ สมัย คือ

สมัยชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์
บริเวณที่ราบลุ่มของแม่น้ำกก เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของชนชาติไทยและอารยธรรมไทย ตั้งแต่ก่อนพ.ศ. ๑๘๐๐ 
ร่องรอยที่เป็นรูปธรรมของสังคมและอารยธรรมไทยลุ่มน้ำกก ได้แก่ ซากเมืองโบราณ ที่มีอยู่เกลื่อนกลาดบนสองฝั่ง
แม่น้ำกก เท่าที่ค้นพบในปัจจุบันมีซากเมืองโบราณถึง ๒๗ เมือง ตั้งแต่อำเภอฝางซึ่งเป็นต้นแม่น้ำกก
จนถึงเมืองเชียงแสน นับเป็นพยานที่ดี ว่าได้มีชนชาติไทยชุมนุมกันตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณแม่น้ำกกอย่างหนาแน่น
และได้ขยายตัวมีการสร้างบ้านแปงเมืองกันไม่ขาดสาย ศูนย์กลางทางการเมือง ของไทยแห่งลุ่มน้ำกกในยุคแรก
ตั้งอยู่ที่ลำน้ำแม่สายซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำกกขึ้นไปเล็กน้อย ตำนานสิงหนวัติจดบันทึกไว้ว่า ราชวงศ์กษัตริย์ไทเมือง
ชื่อสิงหนวัติกุมาร อพยพคนไทย จากนครไทยเทศในยูนนาน ลงมาตั้งอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์ ณ บริเวณละว้านที
(แม่น้ำสาย) และแม่น้ำโขง ตั้งแต่ต้นพุทธกาลก่อนได้ชื่อว่าโยนก ตำนานสิงหนวัติได้กล่าวว่า
บริเวณนี้เป็นดินแดนสุวรรณโคมคำแต่รกร้างไปแล้ว เมื่อสิงหนวัติกุมารนำไพร่บ้านพลเมืองมาจากนครไทยเทศ
จึงมาสร้างเมืองขึ้นใหม่ชื่อว่า สิงหนวัตินคร ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น โยนกนครไชยบุรี ราชธานีศรีช้างแสน
(ช้างแสนแปลว่าช้างร้อง) และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เชียงแสน และเรียกพลเมืองของโยนกนครว่า ชาวยวน
 ตำนานเงินยางเชียงแสน ได้กล่าวถึง ปู่เจ้าลาวจก เป็นผู้ตั้งอาณาจักรเงินยาง หรือ หิรัญนคร เมื่อ พ.ศ ๑๑๘๑
 เป็นยุคที่สองต่อจาก โยนกนาคพันธุ์ ซึ่งล่มสลายไปแล้ว โดยตั้งศูนย์กลางอยู่ ณ บริเวณเดียวกับ โยนกนาคพันธุ์เดิม
แต่ไพร่บ้านพลเมืองส่วนใหญ่อยู่กันหนาแน่นที่ปากแม่น้ำกกสบแม่น้ำโขง อาศัยน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ทำนา
 การปกครองบ้านเมืองก็ใช้พื้นที่ทำนา เป็นเกณฑ์ การแบ่ง เขตเช่นแบ่งเป็นพันนา หมื่นนา แสนนาและล้านนาเป็นต้น
 มีเมืองเชียงแสนเป็นเมืองสำคัญและมีเมืองเล็กเมืองน้อยที่เรียกว่าเวียง เกิดขึ้นตามบริเวณ
ที่ราบลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ อีกมากมาย
สมัยสร้างบ้านแปงเมืองของราชวงศ์มังราย
ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ บริเวณลุ่มน้ำกก มีการ “สร้างบ้านแปลงเมือง” โดยพญามังราย (พ.ศ. ๑๗๘๑-๑๘๖๐)
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย บุตรของพญาลาวเม็ง (ผู้ครองหิรัญนครเงินยาง) และพระนางเทพคำข่าย
 (เจ้าหญิงแห่งเมืองเชียงรุ้ง) ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แทนพญาลาวเม็ง ที่เมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสนในปี
พ.ศ. ๑๘๐๒ และได้ทรงย้ายราชธานีจากเมืองหิรัญนครเงินยาง (ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเมืองเชียงแสน)
 มาสร้างราชธานีแห่งใหม่ที่ริมฝั่งแม่น้ำกก เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๕ และได้ขนานนามราชธานีแห่งนี้ว่า “เชียงราย”
ซึ่งมีความหมายว่า “เมืองของพญามังราย” จากนั้นได้รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือญาติ
เชื้อสาย ลัวะ จักราช เช่นเมืองเชียงไร เมืองปง เมืองเวียงคำ เชียงเงิน เชียงช้าง เชียงของ ฯลฯ เข้ามาไว้ในอำนาจ
 รวมทั้งได้สร้าง เวียงฝางขึ้นมาในปี ๑๘๑๒ ต่อมาพระองค์ได้ขยายอำนาจสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำปิง
สามารถยึดเมืองหริภุญชัย (ลพุน) ได้ในปี ๒๘๑๗ และได้เมืองอังวะพุกามในปี ๑๘๓๒
โดยได้นำเอาช่างจากพุกามมาไว้ที่เชียงแสนด้วยหลังจากนั้น พระองค์จึงย้ายราชธานีมายังบริเวณลุ่มแม่น้ำปิง
โดยสร้าง เมือง “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” เป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ และครองราชย์อยู่ที่เชียงใหม่ตลอด
 โดยให้ขุนคราม ราชโอรสไปครองเมืองเชียงรายแทน เชียงรายจึงกลาย สภาพเป็นเมืองบริวารของเชียงใหม่
ภายหลังการย้ายราชธานีของพญามังราย เชียงรายก็ถูกเปลี่ยนเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชและในระยะต่อมา
บทบาทเมืองเชียงราย ก็ถูกริดรอนลง เมื่อเชียงใหม่เกิดสงครามกลางเมืองแย่งชิงอำนาจกันเอง อาณาจักรล้านนา
ก็เริ่มเสื่อมและเสียเอกราชให้แก่พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๑ เมือง เชียงรายจึงตกอยู่
ใต้อำนาจการปกครองของพม่านานถึง ๒๐๐ ปีโดยในระหว่างที่พม่าเข้ามามีอำนาจนั้นพม่าได้ฟื้นฟู
เมืองเชียงแสนเป็นเมืองสำคัญในการปกครองของหัวเมืองเหนือ

สมัยเป็นเมืองบริวารต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี อาณาจักรไทยได้ทำสงครามกับพม่าหลายครั้ง จนบรรดาผู้นำ
ของคนไทยตอนเหนือ เช่น พญาจ่าบ้าน พญากาวิละ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้ากรุงธนบุรี
ได้ทำการต่อสู้กับพม่าที่เรียกว่า “ฟื้นม่าน” เพื่อช่วยขับไล่พม่าออกไปจากล้านนาไทย แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
ต่อมาพญากาวิละ เป็นผู้มีบทบาท มากในการเกลี้ยกล่อมให้บรรดาเมืองต่าง ๆ ในล้านนาร่วมมือกันต่อสู้พม่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเห็นความสำคัญของอาณาจักรล้านนาไทย จึงทรง
สนับสนุนให้ทัพมาช่วย และโปรดเกล้าสถาปนาเชียงใหม่ขึ้นเป็นประเทศราช และแต่งตั้งให้พญากาวิละ
เป็นพระเจ้ากาวิละ ครองเมืองเชียงใหม่ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๔๗ พระเจ้ากาวิละ ได้ยกทัพไปตีเมืองเชียงแสน
และกวาดต้อนผู้คนบริเวณเมืองต่าง ๆ ออกไปทั้งหมด ทำให้เมืองต่าง ๆ รวมทั้งเมืองเชียงรายกลายเป็นเมืองร้าง
 ในปี พ.ศ. ๒๓๘๖ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองเชียงรายได้รับการฟื้นฟูบูรณ
ะขึ้นอีกครั้ง มีฐานะเป็นเมืองบริวารของเชียงใหม่ โดยมีเจ้าหลวงธรรมลังกา เป็นเจ้าเมืององค์แรก
 และนับแต่ปี พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นต้นมา การปกครองเมืองเชียงราย ในฐานะเป็นเมืองบริวารของเมืองเชียงใหม่
ประกอบด้วยเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ที่เรียกว่า “เจ้าขัน ๕ ใบ” เป็นคณะปกครองเมืองเชียงราย ประกอบด้วย
เจ้าหลวง พระยาอุปราช พระยาราชวงศ์ พระยาราชบุตร และพระยาบุรีรัตน์ เป็นผู้ปกครอง นอกจากนี้ยังมี
“เค้าสนามหลวง” ประกอบด้วยเจ้านายขุนนางชั้นสูง ทำหน้าที่ปกครองบ้านเมือง และ เมืองเชียงราย มีเจ้าหลวง
 และเจ้านายบุตรหลานเชื้อสายราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนปกครอง เป็นระยะเวลานานถึง ๖๐ ปี (พ.ศ. ๒๓๘๖-๒๔๔๖)
 จนมีการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ ๕

สมัยการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล
สมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินนโยบายสร้างความเป็นเอกภาพทางการเมือง
 โดยค่อย ๆ ริดรอนอำนาจของเจ้าผู้ครองนคร พยายามไม่ให้ เกิดความขัดแย้งในการดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง
 นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๒๗ จนถึง ๒๔๔๒ ได้ประกาศจัดตั้งมณฑลพายัพ และเป็นการยกเลิกหัวเมืองประเทศราชล้านนา
ไทย ทำให้ ล้านนาไทยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอย่างแท้จริง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๖-๒๔๕๓ รัฐบาล
ได้ส่งข้าหลวงคือ พ.ต. หลวงภูวนาทนฤบาล มาดูแลเมืองเชียงราย โดยให้รวมเมือง เชียงราย เมืองฝาง เวียงป่าเป้า
เมืองพะเยา แม่ใจ ดอกคำใต้ แม่สรวย เชียงคำ เชียงของ ตั้งเป็นหัวเมืองจัตวา เรียกว่า “เมืองเชียงราย”
อยู่ในมณฑลพายัพ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้มีการยกเลิกการปกครอง แบบมณฑลเทศาภิบาลเมืองเชียงราย
จึงมีฐานะเป็นจังหวัด โดยเมืองฝางถูกแยกเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๐
อำเภอพะเยาพร้อมกับอีก ๖ อำเภอบริวาร จึงถูกยกฐานะเป็นจังหวัดพะเยา ปัจจุบันจังหวัดเชียงรายแบ่ง
การปกครองออกเป็น ๑๘ อำเภอ
ข้อมูลจาก สนง.วัฒนธรรม จ.เชียงรา
เชียงรายในอดีต (อาณาจักรต่างๆ)
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของบางยุคบางสมัยในดินแดนเหล่านี้
บางครั้งก็มีความคลาดเคลื่อนกันไปทั้งทางด้านสถานที่หรือด้านของเวลา
จึงยากที่จะชี้ชัดลงไปอย่างชัดเจนว่า หลักฐานใดถูกต้อง สำหรับอาณาจักรโบราณ
และเมืองต่างๆ อันเป็นที่ตั้งของจังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน ที่ปรากฏในตำนานหรือพงศาวดารและหลักฐาน
ทางประวัติศาสตร์นั้น นักวิชาการในท้องถิ่นได้แบ่งประวัติเชียงรายออกเป็นยุคต่างๆ ดังนี้

1. ยุคอาณาจักรโยนกไชยบุรีศรีช้างแสน
2. ยุคหิรัญนครเงินยาง
3. ยุคเชียงราย (มังราย)
4. ยุคพันธุมติรัตนอาณาเขต
Credit :  http://www.chiangraifocus.com/guidebook/chiangrai/historyofchiangrai.php 

The Best Dance Crew of ABDC

แนะนำ Idol ของเจ้าของบล็อกหน่อยนะคะ คลั่งมาก
รู้จักตั้งแต่อยู่ม.ต้น ตอนนี้อยู่ม.ปลายละค่ะ
เป็นทีมเต้นที่เจ๋งสุดๆ และเป็นผู้ชนะในรายการ ABDC
 (America's Best Dance Crew) Season 1
พวกเขาคือ JABBAWOCKEEZ 


พวกเขาเริ่มการแสดงจากการที่มีสมาชิกเพียงแค่ 3 คน คือ Phil “Swaggerboy” Tayag, Kevin “KB” Brewer, และ Joe “Emajoenation” Larot   โดยใช้ชื่อกลุ่มที่เรียกว่า “Three Musky”  ในมณฑลแซคราเมนโต (Sacramento) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในขณะนั้นพวกเขาก็ได้ใส่หน้ากากปกปิดหน้าตาและถุงมือสีขาวเพื่อนำมาใช้ในการแสดงของพวกเขา –[ การนำหน้ากากและถุงมือมาใช้ในการแสดงนั้นเริ่มปรากฎขึ้นในปี ค.ศ 1960 โดยนักแสดงกลุ่ม Medea Sirkas  ใน San Francisco การแสดงแบบนี้อาจจะเรียกอีกอย่างว่าละครใบ้ก็ได้ค่ะ ]
Jabbawockeez ถือว่าเกิดขึ้นภายใต้แนวคิดของ “Three Musky”  ในปี ค.ศ. 2003 ในเมืองซานดิเอโก้ (San Diego, California,) รัฐแคลิฟอร์เนียค่ะ โดยต้องการที่จะแสดงการเต้นในรูปแบบที่แตกต่างของพวกเขา ในการตั้งชื่อกลุ่มที่เรียกว่า “Jabbawockeez” เกิดจากการที่ Joe Larot หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม ได้รับแรงบัลดาลใจจากการพรรณนาในบทประพันธ์ของ  Lewis Carroll (เขาคนนี้ก็คือนักประพันธ์เรื่อง Alice in Wonderland นั่นเองค่ะ) ซึ่งจะเป็นแนวแฟนตาซีJoe น่าจะนำชื่อมาจากตัวละครหนึ่งในเรื่อง Alice in Wonderland แน่ๆค่ะ ซึ่งตัวละครที่ว่านี้มีชื่อว่า “Jabberwocky” และตัวละครนี้เองที่เป็นปีศาจร้ายที่ต้องมาต่อสู้กับอลิสค่ะ) สำหรับการใส่หน้ากากและถุงมือสีขาวนั้นเกิดจากที่สมาชิกเริ่มต้นทั้ง 3 สวมกันในการแสดงอยู่แล้ว พวกเขาจึงนำเอาสิ่งนี้มาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มค่ะ  หลังจากนั้นในปี 2004 JBWKZ พวกเขาก็เริ่มแสดงโดยมีสมาชิกทั้งหมด 9 คนคือ Gary, Randy, Phil, Kevin, Joe, Rainen, Ivan Lira, David Sandoval และ Chris
 จากที่ตอนแรกมีสมาชิกเพียง 3 คนคือ
-           Phil “Swaggerboy” Tayag
-           Kevin “KB” Brewer
-           Joe “Emajoenation” Larot
จากนั้นก็มีสมาชิกที่ติดต่อกันตลอดเข้ามาอีกเพิ่มอีก 3 คน คือ
-          Gary”Gee”Kendall
-           Rynan “Kid Rainen” Paguio
-           Chris “Cristyle” camilo saboya/> “pato” Gatdula
และเมื่อ Rynan ได้เดินทางไป ลอสแอนเจลิส (Los Angeles) เขาก็ได้พบกับสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคนคือ
-           Jeff “Phi” Nguyen
และสมาชิกที่มาจากการแบทเทิล คือ
-           Kevin “Keibee” Brewer
นอกจากนั้น JBWKZ ก็มีสมาชิกเพิ่มจนครบ 11 คน ดังนี้
-           Ben “B-Tek” Chung ( ซึ่งเป็นสมาชิกเก่าของทีม Kaba Modern)
-           Eddie “Eddiestyles” Gutierrez (ที่โดดเด่นในการเต้น b-boys) และ
-           Saso “Saso Fresh” Jimenez
ส่วนมากสมาชิกใน JBWKZ จะเป็นนักเต้นที่มีกลุ่ม/ทีม hip hop ของตัวเองอยู่แล้ว เช่น Phil Tayag ก่อตั้งกลุ่ม Boogie Monstarz ในปี 2003  Kevin Brewer ก่อตั้งทีม SuperGalacticBeatManipulators ในปี 2005 และ Joe Larot ก่อตั้งทีม Press P.L.A.Y. ในปี 2006  ดังนั้น JBWKZ จึงเหมือนกับเป็นการรวมตัวของกลุ่มนักเต้น 3 กลุ่มเลยก็ว่าได้
เหตุผลที่ใสหน้ากากเพราะว่า (Rynan บอกว่า)  อยากให้คนดูเห็นการเต้นที่เป็นภาพรวม ไม่ใช่เจาะจงที่คนใดคนหนึ่ง + กับเป็นการเปลี่ยนมุมมองการเต้นแบบใหม่ เพราะไม่ค่อยมีใครใส่หน้ากากเต้นมาก่อน*
ปัจจุบัน มีสมาชิำก 10 คน – มาจากการไปBattleกับนักเต้นหลายๆที่ แล้วมีคนมาขอ Audition ก็เลยได้สมาชิคเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ
    ที่จริงแล้ว JBWKZ นั้น มีสมาชิกทั้งหมด 11 คน แต่มาลงแข่งขันแค่ 6 คน เพราะกติกากำหนดให้มีผู้เข้าแข่งขันได้ 5-7 คนเท่านั้น…ตามจริงแล้ว เห็นว่ามาเข้าแข่ง 7 คน แต่มีสมาชิกคนนึงเสียชีวิตก่อนที่จะได้แข่งออกอากาศแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น…ดังนั้น ตอนนี้ JBWKZ จึงเหลือสมาชิกแค่เพียง 10 คน














สมาชิกทั้งหมด
Ben “B-Tek” Chung
Joe “Emajoenation/Punkee” Larot
Chris “Cristyle” camilo saboya/> “pato” Gatdula
Kevin “Keibee” Brewer
Rynan “Kid Rainen” Paguio
Jeff ‘Phi’ Nguyen
Saso “King Saso” Jimenez
Randy “DJ Wish One” Bernal
Eddie “Eddie Styles” Gutierrez
Phil “Swaggerboy” Tayag
และนี่คือโฉมหน้ากรรมการสวยหล่อทั้ง 3 คนค่ะ

Credit:http://zowiempire.wordpress.com/tag/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-jabbawockeez

สามัคคี 2 Good ทะเล้น

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2555 ตั้งแต่เวลา 12:50 - 13:40 

ได้มีการจัดกิจกรรมสามัคคี 2 Good ทะเล้นขึ้น

ณ หอประชุม มีผู้เข้าประกวดทั้งหมด 4 ทีมด้วยกัน ทีมที่1 ร้อง

เพลงและเล่นกีต้่าร์ ทีมที่ 2 เล่นดนตรีโฟล์กซอง 

ทีมที่ 3 ร้องเพลงสดเป็นเพลงภาษาจีน ทีมที่ 4 เป็นการเต้น

ที่ผสมผสานกับละครใบ้ เป็นการเต้นแบบฮิพฮอพ-สตรีทแดนซ์

+ คอมเมดี้ เป็นคู่ดูโอ ซึ่งผลของการประกวดออกมาว่า 

ทีมที่ 4 ชนะ   นั่นก็คือ ทีม B.T.D BABY WOCKY


แนะนำทีมที่ชนะ

ชื่อทีม B.T.D BABY WOCKY

นำแสดงโดย 

1. น.ส.เกศรินทร์   กลิ่นแย้ม ชื่อเล่น นิคกี้  ( Leader ) <เจ้าของบล็อกเองค่ะ>

2. น.ส.ฐานิตา   อภิวงค์ษา ชื่อเล่น แนน  ( Member )

นักเรียนชั้นม.5.1